วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558


 แม่เป็นคนเก่ง ไม่ว่าใคร ไม่เอาเปรียบใคร และก็ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบได้ และตอนมีงานบวชงานแต่งหรืองานบุญแม่ต้องเป็นคนทำกับข้าวเสมอเลย แม่ทำกับข้าวอร่อยมาก และก็ปลูกต้นไม้เก่ง ดอกไม้เต็มบ้าน ต้นไม้ทุกต้นที่บ้านมีกล้วยไม้ทุกต้น  ตอนนี้ไม่มีแม่แล้ว ก็ทำกินเองได้ เพราะเรายังไม่มีครอบครัว เป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง ตอนแม่เสียเราเสียใจมาก ไม่รู้ต้องทำไงทำอะไรไม่ถูก แม่เข้าโรงพยาบาลได้แค่ 5-6 วัน ก็เสีย แม่เสียวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2557 ไปไวมาก แม่ไป โรงพยาบาลบ่อพลอย ด้วยอาการ ปวดหัว เป็นไข้ และ ก็เวียนหัวอาเจียน แต่ไม่มากเดินขึ้นรถเองได้ พอถึงโรงพยาบาล บ่อพลอย หมอตรวจและก็ให้นอนโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ตั้งแต่เป็นไข้อยู่ โรงพยาบาล บ่อพลอย ประมาณ 2 วัน แม่ก็อาการดีขึ็น หมอเจ้าของไข้บอกว่าพรุ่งนี้กลับบ้านได้แล้ว เราก็ดีใจ เพราะแม่จะได้กลับบ้านซะที เราเองก็จะได้ไม่ต้องกินไข่เค็มแล้ว แต่พอตกดึกแม่ก็ถ่ายท้องแม่เดินเข้าห้องน้ำทั้งคืนเลย และก็ไอมากด้วย ไอไม่หยุด น้ำเกลือก็ยังให้อยู่ พอเช้าแม่ไอรุ้นแรงมากไข้ขึ้นสูงเหมือนจะช็อก พ่อก็ใจไม่ดีเลยขอย้ายโรงพยาบาลตอนเช้า แต่พยาบาลไม่ให้ย้ายให้รอหมอเจ้าของไข้ก่อน พ่อก็รอจนบ่าย กว่าหมอเจ้าของไข้จะเข้ามาตรวจก็บ่าย 2 โมง แม่ก็ไข้ขึ้นสูงความดันขึ้นเวียนหัวอาเจียน น้ำเกลือก็ให้เยอะมากหลายขวดพอน้ำเกลือจะหมดพยาบาลก็จะเอามาให้อีก ตอนนั้นแม่ยังมีสติดีทุกอย่าง แม่บอกว่า ไม่ต้องเอามาให้แล้วให้จนตัวบวมแล้ว แม่ไอและก็เหนื่อยมาก พอหมอเจ้าของไข้ตรวจ เขาก็พูดว่า ป้า ลมุด ติดเชื้อที่ปอด ต้องนอนที่โรงพยาบาล บ่อพลอย อีก 4-5 วัน และ ก็เตรียมสั่งให้พยาบาลเอาน้ำเกลือมาให้อีก พ่อเห็นแบบนั้นเลยขอย้ายไปโรงพยาบาล เมมโมเรียล ที่ตัวเมือง กาญจนบุรี พอถึงโรงพยาบาล เมมโมเรียล หมอใหญ่ ตรวจแม่ และบอกว่าแม่น้ำท่วมปอดเพราะให้น้ำเกลือมากเกินไป และก็เป็น ไข้เลือดออก หมอให้พยาบาลดูดน้ำออกจากปอดให้ยาฆ่าเชื้อ และ ก็ให้ยาขับปัสวะ เพราะเป็นไข้เลือดออก ตอนนั้นแม่เหนื่อยมากหายใจไม่ได้หมอต้องให้ใส่สายทางปาก ตอนใส่แม่ไม่ยอมแม่บอกตายช่างมันไม่ยอมท่าเดียว จนพอต้องเข้าไปบอกว่า ไม่อยากกลับบ้านหรือ ไม่อยากเห็น ไอหนู หรือ แม่จึงยอมให้ใส่ แม่อยู่โรงพยาบาล เมมโมเรียล ได้ 3 วัน หมอเจ้าของไข้บอก ไม่ต้งห่วง คุณป้าปลอดภัยแล้ว เราก็ดีใจ แล้วก็ลงไปจ่ายค่ารักษา ช่วงแรก 56000 บาท พอวันที่ 4 ตอนเย็นเราขึ้นตึกไปกับพ่อ ไปที่แม่ แม่หลับแต่ตัวบวม เราก็ไม่ได้เรียกเพราะนึกว่าแม่หลับ ประมาณ 2 ทุ่ม หมอเจ้าของไข้มา เขาพูดกับพ่อว่า คุณป้าปลอดภัยแล้ว ถ้าอยู่ห้องฉุกเฉินที่นี่ค่าใ้ช้จ่ายมันสูง ให้ยาย ไปพักเฟิ้นที่โรงพยาบาลพหลดีกว่าเพราะเครื่องมือเหมือนกัน แค่ย้ายไปรอถอดเครื่องออกเท่านั้นครับ ตอนแรกพ่อก็ลังเลเพราะไม่ได้ห้วงเรื่องเงินแค่ต้องการให้แม่หายกลับบ้านได้ และก็มีเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉิน 2 - 3 คน ก็มาบอกพ่อว่าย้ายเถอะจะได้ไม่ต้องเสียเงินมาก เขาพูดว่า ตอนพ่อหนูเข้าโรงพยาบาล หนูก็ให้พ่อเข้าโรงพยาบาลพหล หนูติดต่อไปโรงพยาบาลพหลแล้วเขามีเตียงห้องฉุกเฺฉินพร้อม พ่อถามว่า แล้วมีคนไข้ในห้องกี่คน เขาตอบว่า ประมาณ 8 - 9 คน เป็นห้องกระจก พอก็เลยตกลง เพราะหมอบอกว่า แค่ย้ายไปพักฟื้นเฉยๆ จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก และพ่อก็ลงไปจ่ายค่ารักษาเพิ่มเติมอีก ประมาณ 120000 บาท แล้วก็นั่งรอเตรียมย้ายแม่ไปโรงพยาบาลพหล ก่อนแม่ย้ายโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ดูแลที่ห้องฉุกเฉินก็เอายาที่สั่งมาให้แม่ใช้เอาไปคืนและก็คืนค่ายากลับมาให้พ่อประมาณ 12000 บาท ประมาณตี 2 แม่ก็ถูกย้ายไปที่โรงพยาบาลพหล เรานั่งไปในรถพยาบาลข้างแม่ แม่มีอาการเหนื่อยมากพยาบาลใช้ที่บีบลมต่อไว้ที่ปากแม่และก็บีบไปตลอดทาง ตอนนั้นแม่ก็มีสติดีทุกย่าง เราบอกแม่ว่า แม่ดีขึ้นแล้วหมอให้ไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลพหลเฉยๆ เราเห็นแม่น้ำตาใหล แม่ร้องไห้ แม่พูดไม่ได่มันมีสายอยู่ในปาก แม่น้ำตาใหลตลอด ระยะทางจาก โรงพยาบาล เมมโมเรียล ไป โรงพยาบาลพหล มันไม่ใกลเท่าไร แต่ตอนนั้นสำหรับเรามันนานมากเหมือนนานชั่วชีวิตจริงๆเราสงสารแม่มาก เราไม่รู้ต้องทำไงเราก็จับมือแม่แล้วก็บอกกับแม่ว่า แม่ไม่เป็นไรหรอก แค่ย้ายไปพักฟื้นนะแม่นะ ไปตลอดทาง พอถึงโรงพยาบาลพหล เจ้าหน้าที่ก็เข็นเตียงแม่ไปที่ห้องฉุกเฉินแล้วก็ให้เราไปแจ้งประวัติคนไข้ พอก็ขับรถตามมาถึงพอดี พ่อเข้าไปดูแม่ เราก็ไปแจ้งประวัติคนไข้ แล้วก็มานั่งรอให้หมอตรวจแมพักหนึ่ง แล้วบุรุษพยาบาลก็เข็นเตียงแม่ไปที่ห้องคนไข้รวม น่าจะไม่ต่ำกว่า 50 เตียง พ่อถามบุรุษพยาบาลว่าทำไมไม่รุนไปห้องฉุกเฉินที่เป็นห้องกระจกละ เพราะโรงพยาบาล เมมโมเรียล เขาติดต่อไว้ให้แล้ว เขาตอบกลับมาว่า ไม่มี มีแต่ห้องรวมแบบนี้ พ่อพูดกับเราว่า เราโดนมันหลอกแล้ว มันหลอกให้พาแม่มึงออกมา แล้วพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก พ่อเครียดมาก พ่อจับแม่ไว้ตลอด พ่อโอบคอแม่ไว้ เราก็จับขาแม่ไว้บีบขาแม่ตลอด มีสายต่อจากปากแม่ไปที่เครืองที่หัวเตียง เราสงสารแม่มาก หมอใหญ่บอกพ่อว่าคนไข้อาการหนักมากมีโอกาศหัวใจหยุดเต้นตลอดเวลา เราได้ยินหมอบอกเราตกใจมาก เพราะหมอที่โรงพยาบาลเมมโมเรียลบอกแม่ปลอดภัยแล้ว แค่ย้ายไปพักฟื้นเฉยๆ คำตอบของหมอ 2 คน มันต่างกันราว ฟ้ากับดิน แล้วหมอก็เอาฟิล์มเอ็กซ์เรปอดของแม่ให้พ่อดู หมอบอกแม่ไม่มีปอดแล้วมันขาวไปหมดแล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าหัวใจหยุดเต้นให้ผมปั้มมั้ยถ้าให้ปั้มซี่โครงหักแน่ครับ พ่อบอกไม่ต้อง ตอนนั้นแม่ยังรู้สึกตัวยังมีสติครบ แม่น้ำตาใหลแม่ร้องไห้ พ่อบอกให้เราลงไปซื้อผ้าอ้อมผู้ใหญ่เผื่อแม่ไม่เป็นไร เราก็ไปซื้อมาแล้วก็ให้พยาบาลใส่ให้พยาบาลบอกแม่ว่า ป้า ยกก้นหน่อยใส่ผ้าอ้อม แม่ก็ยังยกก้นขึ้นได้ แต่แม่เหนื่อยมากแม่จะไม่ใหวแล้วเรารู้ได้เอง พ่อให้เราโทรตาม ป้า ลุง พร้อมกับ พี่น้องของแม่ ให้บอกว่า แม่ไม่ใหวแล้ว เราก็โทรตาม พ่อกอดคอแม่ไว้แล้วก็ถามแม่ว่าไม่ใหวหรือ ใหวมั้ย แม่มองพ่อเฉยๆ เราก็บอกแม่ว่า แม่หนูโตแล้ว หนูดูแลตัวเองได้ แม่หนูแก่แล้วนะแม่ แม่ไม่ต้องห่วง เราก็ยังบอกแม่ว่า แม่ไม่ต้องกลัวนะหมอมันโกหกมันตรวจไม่รู้เรื่องแต่ในใจเรามันสลายไปแล้วกลัวที่สุดในชีวิต ปากเราแห้งมากไม่มีน้ำลาย เราก็กอดขาแม่ไว้ เราได้ยินพ่อพูดกับแม่ว่า ไหวมั้ย ไม่ไหวหรือ ไม่ไหวก็ไป ไปก่อนไม่ต้องห่วง ไม่ทิิ้งลูกหรอก พ่อเอามือปิดตาแม่ไว้ เราก็กอดขาแม่ไว้ ตอนนั้นยังไม่มีใครมา มีแค่ เรา พ่อ และ แม่ 3 คน และแม่ก็เสีย ตอนประมาณ ตี 3 ครึ่ง เราเสียใจมาก ทำอะไรไม่ถูก พ่อร้องไห้บอกเราว่าเราเหลือกันสองคนแล้วแม่มึงไปแล้วเราร้องแต่ไม่มีน้ำตามันแน่นอยู่ในอกน้ำตาไม่ออกน้ำตามันตกข้างใน แล้วป้ากับลุงก็มาถึง กับญาติๆ เราได้ยินใครพูดก็ไมรู้ว่า พี่ มุด ตัวยังนิ่มอยู่เลยแล้วก็ร้อง ตอนนั้นเราไม่สนใจอะไรแล้ว พ่อบอกหมอว่าจะพาแม่กลับบ้านเลย หมอก็ไม่ได้ว่าอะไร ลุงกับป้าพาเราลงมาด้านลางตึกมารอพ่อ เราเห็นพ่อกับพี่ หญิง ไปรับร่างของแม่เอามาขึ้นรถกระบะของพ่อ ตอนนั้นพี่อีกคนตามมาถึง พี่น้ำค้าง พ่อบอกให้พี่ค้างนั่งหลังรถกับแม่ พี่หญิง ก็นั่งมากับพี่ค้างด้วย พ่อบอกให้พี่ค้างเรียกชื่อแม่กลับบ้านแล้วให้โยนเหรียญตามทางแยกทางโค้งตลอดทาง เรานั่งหน้ารถกับพ่อ และ น้าอีกคน ตอนนั้นน้ำตาเราไหลไม่หยุดเลย เราร้องไห้อยู่เกือบทุกวันตาบวมไม่อยากทำอะไรเลย จนเสร็จงานของแม่ เราก็ไม่อยากเปิดบ้านขายของ เราบอกกับญาติๆและลูกค้าว่าคงเปิดร้านขายของช่วงหลังปีใหม่ เราทำใจยากมาก เราคิดถึงแม่มาก พ่อบอกว่าเราต้องเปิดบ้านขายของเหมือนเดิม ไม่งั้นมันจะเงียบ พอมีลูกค้ามาซื้อของจะได้ไม่เงียบ เราก็เปิดร้านขายของ ก็มีลูกค้ามาซื้อของตามปกติ เราก็พอไม่เงียบ ตอนนี้เราอยู่กับพ่อเรา 2 คน กับข้าวก็พอทำได้แต่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ชีวิตคนมันก็ต้องอยู่ต่อไป แม่อยากให้เรามีครอบครัว ตอนนี้เราก็ยังไม่มีเลย ถึงไม่ได้แต่งงานเราก็อยู่ได้คงไม่ยากเกินไป พอถึงเวลามันจะมีมันก็คงมีเอง แม่ไม่ต้องห่วงนะแม่ ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้ว บ้านทั้งหลังมีผู้ชายอยู่กันแค่ 2 คน เรื่องกับข้าวก็ลำบากขึ้น พ่อก็ต้องอยู่เพื่อนเราออกไปตรวจกักด่านไม่ค่อยได้ ออกไปหาที่ให้นายทุนก็ไม่ได้ ออกไปก็ไปแป็ปเดียว ทุกวันนี้เรายังแอบร้องไห้อยู่แต่ไม่ไห้พ่อเห็น มีเงินแต่ช่วยแม่ไม่ได้เราเสียใจมาก แม่ แม่ ลมุด กุศลมา แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูโตแล้ว หนูดูแลตัวเองได้ หนูรักแม่นะ......

        ทำไมโรงพยาบาล บ่อพลอย ถึงตรวจไม่รู้ว่าแม่เป็นแค่ไข้เลือดออก.........
        ทำไมโรงพยาบาล เม็มโมเรียล ต้องหรอกให้ย้ายแม่ไปโรงพยาบาลพหลด้วย......

เราไม่อยากเรียกร้องอะไรกับใครทั้งนั้น แค่เราคิดถึงแม่ก็แค่นั้น......ถ้าเป็นไปได้เราจะให้แม่กิน พารา กินน้ำมากๆนอนอยู่บ้านแม่คงไม่เป็นไร.............รักแม่ ลมุด กุศลมา ตลอดไป 

" ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้หนูได้เกิดเป็นลูกชายของแม่ทุกชาติไปนะแม่... "
                                                       ร้านค้า ต้นสน ซอย วัดไทย
                                                        อ/ต บ่อพลอย กาญจนบุรี










                                                 ดูรูปภาพทังหมด